กลุ่มภาระงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

ประชาสัมพันธ์จุดติดตั้ง Wi-Fi อุปกรณ์ของบริษัท True ภายในคณะวิทยาศาสตร์ รวมทั้งสิ้น 139 จุดโดยมีรายละเอียดการติดตั้งดังนี้ ตึกกลม สถานที่ติดตั้ง จำนวน ภายในห้องเรียน 1103 3 จุด ภายในห้องเรียน 1102 3 จุด ภายในห้องเรียน 1101 3 จุด บริเวณทางเดินฝั่งทิศตะวันออก 1 จุด รวม 10 จุด   อาคาร Sc.05 สถานที่ติดตั้ง จำนวน ภายในห้อง Unit A 2 จุด ภายในห้อง Unit B 2 จุด ภายในห้อง Unit C 2 จุด ภายในห้อง 5101 4 จุด ภายในห้อง 5102 4 จุด ภายในห้อง 5103 4 จุด บริเวณกลางอาคาร 1 จุด ภายในห้องสโมสรนักศึกษา 1 จุด รวม 20 จุด   อาคาร Sc.08   สถานที่ติดตั้ง จำนวน ชั้น B 8 จุด ชั้น 1 ห้องแล็บสิ่งแวดล้อมฯ 4 จุด ชั้น 1 สารบรรณสิ่งแวดล้อมฯ 1 จุด ชั้น 1 ภายในห้องเรียน 8108 1 จุด ชั้น 1 หน้าลิฟท์ 1 จุด ชั้น 1 ภายในห้องเรียน 8103 4 จุด ชั้น 1 ภายในห้องเรียน 8104 1 จุด ชั้น 1 ภายในห้องเรียน 8105 4 จุด ชั้น 2 ห้องแล็บสิ่งแวดล้อมฯ 4 จุด ชั้น 2 หน้าลิฟท์ 1 จุด ชั้น 2 ภายในห้องปฏิบัติการสารสนเทศ 2 จุด ชั้น 2 ห้องแล็บฟิสิกส์ 4 จุด ชั้น 3 ห้องแล็บชีววิทยา 3 จุด ชั้น 3 หน้าลิฟท์ 1 จุด ชั้น 3 ห้องพักอาจารย์ 1 จุด ชั้น 3 ภายในห้องเรียน 8312 2 จุด ชั้น 3 ภายในห้องเรียน 8303 1 จุด ชั้น 3 ภายในห้องเรียน 8304                2 จุด ชั้น 3 ภายในห้องเรียน 8305 2 จุด ชั้น 3 ห้องแล็บฟิสิกส์ 3 จุด ชั้น 4 ห้องแล็บชีววิทยา 3 จุด ชั้น 4 หน้าลิฟท์ 1 จุด ชั้น 4 ห้องพักอาจารย์ 1 จุด ชั้น 4 ภายในห้องเรียน 8412 2 จุด ชั้น 4 ภายในห้องเรียน 8403 1 จุด ชั้น 4 ภายในห้องเรียน 8404 2 จุด ชั้น 4 ภายในห้องเรียน 8405 2 จุด ชั้น 4 ภายในห้องแล็บฟิสิกส์ 1 จุด ชั้น 5 ภายในห้องแล็บเคมี 4 จุด ชั้น 5 ภายในห้องแล็บคอมพิวเตอร์ 3 จุด ชั้น 5 หน้าลิฟท์ 1 จุด ชั้น 5 ภายในห้องเรียน 8504 2 จุด ชั้น 5 ภายในห้องเรียน 8505 2 จุด ชั้น 5 ภายในห้องสารบรรณฟิสิกส์ 3 จุด ชั้น 6 ภายในห้องแล็บเคมี 4 จุด ชั้น 6 ภายในห้องแล็บคอมพิวเตอร์ 3 จุด ชั้น 6 หน้าลิฟท์ 1 จุด ชั้น 7 หน้าลิฟท์ 1 จุด ชั้น 7 ภายในห้องแล็บเคมี 4 จุด ชั้น 7 ภายในห้องพักอาจารย์ 2 จุด ชั้น 8 หน้าลิฟท์ 1 จุด ชั้น 8 ภายในห้องพักอาจารย์ 1 จุด ชั้น 8 ภายในห้องแล็บเคมี 4 จุด รวม 99 จุด    

อินเทอร์เน็ต แนวรบแห่งใหม่บนโลกไซเบอร์บทความโดย พันเอก ดร. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม และรองประธาน กสทช. —————————- แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งถือว่าเป็นประเทศมหาอำนาจ และเป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโดยเริ่มพัฒนาในฐานะโครงการของรัฐบาลในช่วงปลาย ค.ศ. 1960  ซึ่งเป็นโครงการวิจัยเพื่อการป้องกันประเทศระดับสูง (Defense Advanced Research Project Agency Network – DARPA Net) หลังจากนั้นได้มีการใช้งานขยายต่ออย่างรวดเร็วไปทั่วโลกและไม่มีวี่แววว่าการพัฒนาด้านอินเทอร์เน็ตจะหยุดยั้งลง เป็นเรื่องที่ดูจะน่าประหลาดใจอยู่ว่าอินเทอร์เน็ตได้ถูกพัฒนาคิดค้นขึ้นเพื่อการประเทศของสหรัฐฯ แต่กลับกลายเป็นการสร้างภัยคุกคามให้แก่สหรัฐฯ อย่างหนักหน่วงเสียเอง คือขั้นที่สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Council on Foreign Relations) ของสหรัฐฯ ได้เสนอรายงาน Council Special Report No.56, September 2010 โดย Robert K. Knake เรื่อง ‘Internet Government in an Age of Cyber Insecurity’ ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านดูชื่อหัวข้อดีๆ ไม่ใช่ Cyber Security แต่กลายเป็น Cyber Insecurity ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบในเชิงลบของอินเทอร์เน็ตที่มีผลต่อประเทศสหรัฐฯ อย่างรุนแรง ที่ยังคงเป็นปัญหาที่ปวดหัวอย่างมากสำหรับสหรัฐฯ ทำให้ผู้เขียนได้นึกถึงหนังแนว Sci–Fi ที่มนุษย์สร้างหุ่นยนต์ให้มาเป็นทาสรับใช้ แต่การพัฒนาถึงขีดที่หุ่นยนต์สามารถพัฒนาตัวเองได้กลับมาทำลายมนุษย์เสียเอง การที่ประเทศมหาอำนาจ ‘เอาไม่อยู่’ ในบริบทความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ จนทำให้เกิดคำว่า ‘Internet Governance’ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า ‘อภิบาลอินเทอร์เน็ต’ ซึ่งเป็น Keyword สำคัญของรายงานฉบับดังกล่าว โดยเนื้อหามุ่งเน้นไปยังการเปลี่ยนแนวคิดในการกำกับดูแล Cyberspace ที่ถูกสร้างขึ้นโดยอินเทอร์เน็ตและมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือกัน (Engagement) ในระดับนานาชาติ เพื่อหาหนทางในการหยุดยั้งอาชญากรรมไซเบอร์ (Cyber crime) และการโจมดีทางไซเบอร์ (Cyber attack) ในรายงานฉบับดังกล่าวได้ระบุถึงความเสียหายที่เกิดจากอาชญากรรมทางไซเบอร์มีมูลค่าสูงกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี อีกทั้งยังมีการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีความรุนแรงและมีความถี่สูงขึ้น เช่น เหตุการณ์ใน Estonia, Georgia, และ Kyrgyzstan เป็นต้น โดยการโจมตีมีแนวโน้มที่จะโจมตีเป้าหมายที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ (Critical Infrastructure) เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบนิวเคลียร์ ระบบโทรคมนาคม และระบบขนส่งมวลชน เป็นต้น อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือการก่อตั้งกลุ่มแฮกเกอร์ที่ชื่อว่า ‘Syrian  Electronic Army’ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนรัฐบาลของประธานาธิบดีซีเรีย (Bashar al – Assad) กลุ่มแฮกเกอร์กลุ่มนี้จะมีเป้าหมายโจมตีไปที่กลุ่มที่เป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของรัฐบาล  สื่อมวลชนตะวันตก  กลุ่มปกป้องมนุษยชน  และยังเข้าโจมตีในรูปแบบ Cyber attack เพื่อทำการจารกรรมประเทศตะวันออกกลางและยุโรป  รวมทั้งบริษัทที่ทำงานให้แก่รัฐบาลสหรัฐฯ อีกด้วย สรุป ​ภัยคุกคามทาง  Cyber จึงเป็นภัยคุกคามที่มีความรุนแรงและเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของทุกประเทศ จึงทำให้เริ่มมีการให้ความร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้น โดยแต่ละประเทศได้มีการดำเนินการวางยุทธศาสตร์ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (National Cybersecurity Strategy) ซึ่งประเทศไทย คงต้องเร่งดำเนินการในรูปแบบที่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมของชาติ โดยสามารถศึกษาจากการดำเนินการของประเทศต่างๆ แล้วนำมาประยุกต์ปรับใช้ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อให้ประเทศสามารถใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติท่ามกลางแนวรบใหม่บนโลกไซเบอร์ได้อย่างยั่งยืน ต่อไป แนะนำแหล่งข้อมูลอ่านเพิ่มเติม– Syrian  Electronic Army : https://en.m.wikipedia.org/wiki/Syrian_Electronic_Army – Council Special Report No.56, Sept. 2010 :http://www.cfr.org/content/publications/attachments/Cybersecurity_CSR56.pdf

หลายท่านคงคุ้นเคยการตั้งค่าต่างๆให้ Windows 10 เร็วขึ้นที่แม้จะดูยุ่งยากแต่ชัวร์กว่าเช่นปิดโปรแกรม ที่ทำงานอยู่ ตลอดจนปิดโปรแกรม Start Up ของเครื่อง แต่ก็มีวิธีที่สามารถตั้งค่าให้  Windows 10 ทำงานเร็วขึ้นตอนเปิดเครื่องที่ผู้ใช้ทุกท่านได้ลองสังเกตและลองดูว่าได้เปิดหรือเปล่า เข้าไปที่ปุ่ม search บน Windows 10 (ctrl + Q ) แล้วพิมพ์ Power Options >> เข้าไปที่ Power Optionsเลย จากนั้นเลือก Choose what the power buttons does ด้านซ้ายมือ จากนั้นคลิก Change settings that are currently unavailable. และสังเกตที่ด้านล่างของ  “Shutdown settings” ดูว่า “Turn on fast startup” ได้ติ๊กถูกเปิดไว้อยู่หรือไม่ ถ้ายังให้คลิกเครื่องหมายถูกไว้ แล้วคลิก  Save Changes เพื่อบันทึกเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า ทั้งนี้การตั้งค่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นค่า default ในการติดตั้งแบบ Clean Install  แต่ถ้าหากเป็นการอัพเกรด อาจยังไม่เปิดค่านี้ไว้ ดังนั้นลองเข้าไปเปิดตามตั้งค่านี้ดู เวลา shutdown และกาาเปิดเครื่องก็จะเร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ตามวิธีนี้จะไม่มีผลให้เร็วขึึ้นในกรณีรีสตาร์ทเครื่อง ข้อมูลจาก Lifehacker

    ชื่อไฟล์ Donwload ไฟล์นำเสนอ ด้าน Software คลิก ไฟล์นำเสนอ ด้าน Hardware คลิก ไฟล์นำเสนอ ด้าน Network  คลิก

ตรวจสอบซิมเติมเงินว่าลงทะเบียนซิมแล้วหรือยัง? และขั้นตอนการลงทะเบียนซิม   กสทช. เตือนผู้ใช้มือถือเติมเงิน รีบดำเนินการลงทะเบียนซิม ก่อน 31 กค.นี้ เนื่องจาก 1 สิงหาคม ถ้าใครที่ใช้โทรศัพท์มือถือแบบซิมเติมเงิน แต่ไม่ได้ทำการลงทะเบียนซิมยืนยันแสดงตัวตนต่อผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ  เลขหมายซิมที่ไม่ได้ทำการลงทะเบียนจะไม่สามารถโทรออก ใช้เน็ต หรือให้บริการได้  ตามที่ กสทช. ได้ประกาศไว้เมื่อวันที่ 21 มกราคม เลยวันนี้จะมาดูวิธีการตรวจสอบว่าเบอร์มือถือเติมเงิน ที่ท่านใช้อยู่นั้น ลงทะเบียนซิมแล้วหรือยัง ถ้ายัง จะต้องดำเนินการลงทะเบียนซิมมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ?   ขั้นตอนการตรวจสอบว่าลงทะเบียนซิมแล้วหรือยัง ? หยิบโทรศัพท์มือถือ แล้วกดที่ *151# แล้วกดปุ่มโทรออก ระบบก็จะตอบรับว่าได้ลงทะเบียนซิมแล้วหรือยัง หากมีการลงทะเบียนซิมแล้ว ทางเครือข่ายจะแจ้งว่าลงทะเบียนเรียบร้อย หรือ บอกว่าซิมนี้มีการลงทะเบียนซิมแล้วโดยปรากฎหมายเลขประชาชน ปรากฎตรงหน้าจอ  ซึ่งกรณีนี้ก็ไม่ต้องไปลงทะเบียนซิมใหม่อีก ท่านสามารถลงทะเบียนซิมได้ตามศูนย์ หรือร้านค้า ที่มีสัญลักษณ์นี้ แต่ถ้าเบอร์มือถือของท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนซิม จะขึ้นรหัส ให้นำรหัสที่ปรากฎบนมือถือ พร้อมนำบัตรประชาชนตัวจริงมาด้วย มาแสดงต่อที่ โอเปอร์เรเตอร์มือถือในไทยที่คุณใช้บริการอยู่ ( เช่น AIS Shop , Telewiz , DTAC Hall , dtac shop, true shop , CAT , ศูนย์บริการ TOT ) และตามร้านค้าที่มีป้ายสัญลักษณ์ “กสทช. โทรคมนาคม 2 แชะ แวะลงทะเบียนซิม”  ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ ซึ่ง ณ ขณะนี้ครอบคลุมแล้วกว่า 5 หมื่นจุด และสามารถลงทะเบียนซิมยืนยันแสดงตนได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถึง 31 กรกฎาคม 2558  ฟรี !! ไม่เสียค่าบริการใดๆทั้งสิ้น ** หมายเหตุ  ร้านที่มีป้ายสัญลักษณ์ สัญลักษณ์ “กสทช. โทรคมนาคม 2แชะ แวะลงทะเบียนซิม”   แสดงว่าเป็นร้านที่ทาง กสทช.ให้การรับรองแล้ว และมั่นใจว่าจะไม่นำหลักฐานบัตรประชาชนนี้มาใช้ทำอย่างอื่นอย่างแน่นอน ข้อมูลนี้จะจัดส่งถึง กสทช. และผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือโดยตรง ขั้นตอนการลงทะเบียนซิมเติมเงิน ที่ศูนย์ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ และ ร้านค้าที่ กสทช. รับรอง นำโทรศัพท์มือถือ พร้อม บัตรประชาชนตัวจริง หรือ Passport ตัวจริง มาที่ศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือ หรือ มาที่ร้านค้ามือถือที่ มีสัญลักษณ์ “กสทช. โทรคมนาคม 2แชะ แวะลงทะเบียนซิม”    จากนั้นกด *151# แล้วกดปุ่มโทรออก เพื่อแสดงรหัสโค้ดเพื่อลงทะเบียนซิม  ( หน้าตาแอพที่ร้านค้าจะใช้แอพนี้ดำเนินการลงทะเบียนซิมให้ลูกค้า จัดทำแอพโดย กสทช. ) ทางร้านค้า จะหยิบมือถือที่ลงแอพพลิเคชั่นลงทะเบียนซิม ที่จัดทำโดย กสทช.  ร้านค้าจะรันแอพแล้วกดเลือกเครือข่ายที่ท่านใช้เบอร์มือถือเติมเงินนั้นอยู่ แล้วร้านค้าจะหยิบมือถือถ่ายแชะครั้งแรกโดยถ่ายที่รหัสแสดงบนมือถือของคุณ  จากนั้น ร้านค้าจะใช้แอพถ่ายบัตรประชาชน หรือ Passport หรือบัตรที่ราชการออกให้ ไว้เป็นหลักฐาน เป็นแชะที่2   ข้อมูลที่ถ่ายด้วยแอพนี้จะส่งไปยัง ศูนย์กลางของ กสทช. และผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่คุณใช้งานอยู่ ซึ่งแอพข้อมูลที่ถ่ายไว้จะไม่เก็บไว้บนมือถือของร้านค้าเด็ดขาด ซึ่งขั้นตอนการลงทะเบียนซิมครั้งนี้  กสทช. ชี้แจงว่า ใช้เวลาไม่เกิน 60 วินาที เสร็จ!! อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ไม่ต้องกรอกเอกสาร ไม่ต้องปิดเครื่องถอดซิม และไม่ต้องถ่ายเอกสารเลย เพียงแค่ใช้บัตรประชาชนตัวจริงให้เจ้าหน้าที่ถ่ายเท่านั้น

Cloud Computing คือบริการที่ครอบคลุมถึงการให้ใช้กำลังประมวลผล หน่วยจัดเก็บข้อมูล และระบบออนไลน์ต่างๆจากผู้ให้บริการ เพื่อลดความยุ่งยากในการติดตั้ง ดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลา และลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเอง ซึ่งก็มีทั้งแบบบริการฟรีและแบบเก็บเงิน รู้จักคลาวด์คอมพิวติ้ง  (Cloud Computing) แบบเข้าใจง่าย หากแปลความหมายของคำว่า Cloud Computing ดูจะเข้าใจยาก หรือถ้าแปลเป็นไทย “การประมวลผลบนกลุ่มเมฆ” ก็ยิ่งดูจะงงเข้าไปใหญ่ แต่น่าจะง่ายกว่าถ้าบอกว่า Cloud Computing คือการที่เราใช้ซอฟต์แวร์, ระบบ, และทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยสามารถเลือกกำลังการประมวลผล เลือกจำนวนทรัพยากร ได้ตามความต้องการในการใช้งาน และให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลบน Cloudจากที่ไหนก็ได้ ดังแผนภาพด้านล่างนี้นั่นเอง จากภาพด้านบนนี้ จะเห็นว่าด้านในของกรอบที่เป็นก้อนเมฆก็คือทรัพยากรของผู้ให้บริการที่มีทั้ง Hardware และ Software (ซึ่งก็ทำงานบน Hardware ของผู้ให้บริการเช่นกัน) ผู้ใช้บริการเพียงแค่ต่อเชื่อมเข้าไปใช้ผ่าน Network ด้วยเว็บบราวเซอร์ หรือ Client แอพพลิเคชั่น บนอุปกรณ์ต่างๆของตน เช่น มือถือ, Tablet, Notebook, หรือ Chromebook เป็นต้น ทำไมบริการ คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) จึงได้รับความนิยม? Cloud Computing คือบริการที่เราใช้หรือเช่าใช้ระบบคอมพิวเตอร์หรือทรัพยากรด้านคอมพิวเตอร์ ของผู้ให้บริการ เพื่อนำมาใช้ในการทำงาน โดยที่เราไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อ Hardware และ Software เองทั้งระบบ ไม่ต้องวางระบบเครือข่ายเอง ลดความรับผิดชอบในการดูแลระบบลง (เพราะผู้ให้บริการจะเป็นผู้ดูแลให้เอง) แถมตอนอัพเกรดระบบยังทำได้ง่ายกว่า ผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบ ข้อมูลต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต สามารถจัดการ บริหารทรัพยากรของระบบ ผ่านเครือข่าย และมีการแบ่งใช้ทรัพยากรร่วมกัน (shared services) ได้ด้วย และการจ่ายเงินเพื่อเช่าระบบ ก็สามารถจ่ายตามความต้องการของเรา ใช้เท่าไหร่ จ่ายเท่านั้นได้ หากวันใดความต้องการมีมากขึ้นก็สามารถซื้อเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มศักยภาพของระบบ Cloud Computing ได้ โดยที่ไม่ต้องอัพเกรดระบบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ให้วุ่นวาย ดังนั้น ธุรกิจขนาดเล็ก และขนาดกลาง รวมไปถึงสถาบันการศึกษา จึงหันมาใช้บริการ Cloud Computing ที่ทั้งช่วยลดต้นทุนและลดความยุ่งยากทั้งหลายกันมาก คล้ายกับเป็นการ Outsource งานนี้ออกไปเพื่อจะได้ Focus กับงานหลักของตนเองจริงๆ ประเภทของบริการ คลาวด์คอมพิวติ้ง  (Cloud Service Models) บริการ Cloud Computing มีหลากหลายรูปแบบ แต่ในที่นี้ เราขอพูดถึงรูปแบบหลักๆ 3 แบบได้แก่ Software as a Service (SaaS) เป็นการที่ใช้หรือเช่าใช้บริการซอฟต์แวร์หรือแอพพลิเคชั่น ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยประมวลผลบนระบบของผู้ให้บริการ ทำให้ไม่ต้องลงทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์เอง ไม่ต้องพะวงเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบ เพราะซอฟต์แวร์จะถูกเรียกใช้งานผ่าน Cloud จากที่ไหนก็ได้ ซึ่งบริการ Software as a Service ที่ใกล้ตัวเรามากทื่สุดก็คือ GMail นั่นเอง นอกจากนั้นก็เช่น Google Docs หรือ Google Apps ที่เป็นรูปแบบของการใช้งานซอฟต์แวร์ผ่านเว็บบราวเซอร์ สามารถใช้งานเอกสาร คำนวณ และสร้าง Presentation โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์บนเครื่องเลย แถมใช้งานบนเครื่องไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ แชร์งานร่วมกันกับผู้อื่นก็สะดวก ซึ่งการประมวลผลจะทำบน Server ของ Google ทำให้เราไม่ต้องการเครื่องที่มีกำลังประมวลผลสูงหรือพื้นที่เก็บข้อมูลมากๆในการทำงาน Chromebook ราคาประหยัดซักเครื่องก็ทำงานได้แล้ว มหาวิทยาลัยทั้งในไทยและต่างประเทศหลายแห่งในปัจจุบัน ก็ยกเลิกการตั้ง Mail Server สำหรับใช้งาน e-mail ของบุคลากร และนักศึกษาในมหาวิทยลัยกันเองแล้ว แต่หันมาใช้บริการอย่าง Google Apps แทน เป็นการลดต้นทุน, ภาระในการดูแล, และความยุ่งยากไปได้มาก Platform as a Service (PaaS) สำหรับการพัฒนาแอพพลิเคชั่นนั้น หากเราต้องการพัฒนาเวบแอพพลิเคชั่นที่ค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งรันบนเซิร์ฟเวอร์ หรือ Mobile application ที่มีการประมวลผลทำงานอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ เราก็ต้องตั้งเซิร์ฟเวอร์ เชื่อมต่อระบบเครือข่าย และสร้างสภาพแวดล้อม เพื่อทดสอบและรันซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่น เช่น ติดตั้งระบบฐานข้อมูล, Web server, Runtime, Software Library, Frameworks ต่างๆ เป็นต้น จากนั้นก็อาจยังต้องเขียนโค้ดอีกจำนวนมาก แต่ถ้าเราใช้บริการ PaaS  ผู้ให้บริการจะเตรียมพื้นฐานต่างๆ เหล่านี้ไว้ให้เราต่อยอดได้เลย  พื้นฐานทั้ง Hardware, Software, และชุดคำสั่ง ที่ผู้ให้บริการเตรียมไว้ให้เราต่อยอดนี้เรียกว่า Platform ซึ่งก็จะทำให้ลดต้นทุนและเวลาที่ใช้ในการพัฒนาซอฟท์แวร์อย่างมาก ตัวอย่าง เช่น Google App Engine, Microsoft Azure ที่หลายๆบริษัทนำมาใช้เพื่อลดต้นทุนและเป็นตัวช่วยในการทำงาน Application ดังๆหลายตัวเช่น Snapchat ก็เลือกเช่าใช้บริการ PaaS อย่าง Google App Engine ทำให้สามารถพัฒนาแอพที่ให้บริการคนจำนวนมหาศาลได้ โดยใช้เวลาพัฒนาไม่นานด้วยทีมงานแค่ไม่กี่คน Infrastructure as a Service (IaaS) เป็นบริการให้ใช้โครงสร้างพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์อย่าง หน่วยประมวลผล ระบบจัดเก็บข้อมูล ระบบเครือข่าย ในรูปแบบระบบเสมือน (Virtualization) ข้อดีคือองค์กรไม่ต้องลงทุนสิ่งเหล่านี้เอง, ยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบไอทีขององค์กรในทุกรูปแบบ, สามารถขยายได้ง่าย ขยายได้ทีละนิดตามความเติบโตขององค์กรก็ได้ และที่สำคัญ ลดความยุ่งยากในการดูแล เพราะหน้าที่ในการดูแล จะอยู่ที่ผู้ให้บริการ ตัวอย่างเช่น บริการ Cloud storage อย่าง DropBox ซึ่งให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลนั่นเอง แต่นอกจากนี้ก็ยังมีบริการให้เช่ากำลังประมวลผล, บริการให้เช่า เซิร์ฟเวอร์เสมือน เพื่อใช้ลงและรันแอพพลิเคชั่นใดๆตามที่เราต้องการไม่ว่าจะเป็น Web Application หรือ Software เฉพาะด้านขององค์กร เป็นต้น ตัวอย่างบริการอื่นๆในกลุ่มนี้ก็เช่น Google Compute Engine, Amazon Web Services, Microsoft Azure Cloud Service Models ความสำเร็จขององค์กรที่ใช้งาน Cloud Computing Thai Smile บริษัทสายการบินน้องใหม่ที่นำเอาคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) เข้ามาช่วยในการลดต้นทุน และช่วยย่นระยะเวลาในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ โดยทางไทยสไมล์ มองว่า บริษัทน้องใหม่ แยกตัวออกมาจากการบินไทย กว่าจะตั้งตัวได้ กว่าจะมีระบบที่สมบูรณ์ ก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน แต่ความได้เปรียบในเชิงธุรกิจ ต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็ว ดังนั้น คลาวด์คอมพิวติ้ง  (Cloud Computing) จึงเป็นทางเลือกในการช่วยประหยัดเวลา ลดความยุ่งยากและเสียเวลากับการลงทุนอุปกรณ์เอง และสำหรับไทยสไมล์แล้ว Cloud Computing คือคำตอบที่ทำให้สามารถขยับตัวเพื่อแข่งขันในตลาดได้อย่างทันท่วงที จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า องค์กร บริษัท ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ล้วนแต่หาช่องทางในการลดต้นทุน ลดเวลา ลดความยุ่งยากในบริหารจัดการด้านไอที ซึ่งสำคัญมาก และเกี่ยวข้องกับความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ เพราะการซื้ออุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การอัพเดตซอฟต์แวร์ และการอัพเกรดระบบ ต่างมาพร้อมกับต้นทุนและต้องการการบำรุงรักษาในระยะยาว ในขณะที่องค์กรเอง ก็ต้องการความยืดหยุ่น และไม่ยุ่งยากในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบคอมพิวเตอร์, ระบบเครือข่าย รองรับการขยายตัวของธุรกิจ และปรับตัวเข้ากับอนาคตได้เร็วกว่าคู่แข่ง ในยุคที่มีอินเทอร์แพร่หลายและมีเครือข่าย 3G / 4G / Wi-Fi ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ การวางใจให้ Cloud ทำหน้าที่คำนวณ ประมวลผล จัดเก็บข้อมูล ก็ทำให้การใช้งานคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ผ่าน Cloud ก็ไม่ต้องจำเป็นต้องลงทุนสูงอีกต่อไป